ANONA (อโณณา) แปลว่า ดีงาม หรือเป็นที่ชื่นชอบ
นี่คือชื่อของแบรนด์เครื่องหอมสมุนไพร ที่มีเป้าหมายอยากจะให้สินค้าของพวกเขาเป็นที่รัก มัดใจกลุ่มลูกค้า โดยใช้ความโดดเด่นของบรรจุภัณฑ์ที่หยิบเอารูปลักษณ์ของ ‘ยักษ์’ ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์มาเป็นตัวชูโรง แต่แทนที่จะออกแบบให้ดูน่ากลัว พวกเขากลับเลือกที่จะตัดทอนรูปลักษณ์ และรายละเอียดของยักษ์ให้ออกมาดูน่ารัก และเป็นมิตรแทน
ผู้อยู่เบื้องหลังไอเดียเหล่านี้คือ ‘ยูนิส’ สุพิชชา กอเจริญพาณิชย์ หญิงสาวที่ผันตัวจากการเป็นพนักงานออฟฟิศมาเป็นเจ้าของธุรกิจ ในตอนที่เธอยังมีอายุเพียงแค่ 25 ปี เป้าหมายแรกเริ่มของเธอคือการขายสินค้าที่สื่อสารความเป็นไทยไปสู่สายตาชาวต่างชาติ เป็นของฝากที่ใครมาเที่ยวไทย ก็อยากซื้อกลับบ้าน เธอจึงตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หอมระเหย
กว่าจะมาเป็น ANONA
แม้จะดูเหมือนเป็นแบรนด์ที่มีผลตอบรับดีตั้งแต่ต้น แต่ที่จริงกว่าจะออกมาเป็น ANONA ได้ ต้องผ่านการออกแบบและวางแผนมาไม่ต่ำกว่า 1 ปี
“ANONA มันเป็นสิ่งที่เราคิดไว้ตั้งแต่ยังไม่ลาออกแล้ว ณ ตอนนั้นคือคิดว่าอยากจะทำออกมาให้ดี อยากให้มันไปได้ เพราะเราไม่ค่อยชอบงานประจำที่เราทำอยู่ รู้สึกว่ามันไม่ใช่ชีวิตแบบที่เราอยากมี ก็เลยยิ่งตั้งใจเต็มที่ แล้วด้วยความที่นิสเป็นคนชอบอะไรไทยๆ อยู่แล้ว ก็เลยต่อยอดมาเป็นของไทยๆ ที่ชาวต่างชาติเขาชอบซื้อ จะซื้อเก็บ ซื้อฝากก็ได้ ที่เน้นชาวต่างชาติ เพราะเรามองแล้วว่ากลุ่มลูกค้าเขาจะเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ใช่กลุ่มเดิมๆ มันจะกว้างกว่าการโฟกัสไปที่คนไทย หลังจากทำรีเสิร์ชไปพอสมควร สุดท้ายเลยได้ข้อสรุปที่ สมุนไพรหอมระเหยค่ะ” สุพิชชากล่าว
ในทีแรกเธอไม่ได้นิยมชมชอบผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องหอมมาก่อน เรียกได้ว่าไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับมันด้วยซ้ำ ทำให้กว่าจะออกมาเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรหอมระเหยที่วางขายอยู่ ต้องผ่านการคัดเลือกส่วนผสม และทดลองผลิตภัณฑ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้กี่ครั้ง
“ส่วนตัวนิสไม่ใช่คนใช้น้ำหอมเลย เป็นคนไม่ชอบกลิ่นแรงๆ ฉุนๆ ด้วย โจทย์มันเลยเป็นการคิดค้นกลิ่นที่แม้แต่เราก็ต้องชอบออกมาให้ได้ ก็ทั้งเซอร์เวย์ สอบถาม ลองผิดลองถูก เอาไปให้คนโน้นคนนี้ดม ฝากให้คนที่เขาทำบริษัทต่างชาติดมด้วย คือเราต้องการกลิ่นที่ทุกคนจะต้องเข้าถึงได้จริงๆ” เธอกล่าว
กลิ่นที่ทุกคนเข้าถึงได้
“สินค้าของเรามันคือสมุนไพรหอมระเหย ไม่ใช่ยาดมค่ะ ที่เรียกแบบนี้เพราะ 2 อย่างนี้มันแตกต่างกันในรายละเอียดอยู่ คือเราไม่ได้มีสรรพคุณแก้อาการวิงเวียน แต่เน้นไปที่ความผ่อนคลาย ความอโรม่า ตลาดของยาดมมันมีผู้เล่นใหญ่ๆ อยู่แล้ว เราเลยเลือกสร้างความแตกต่างด้วยกลิ่น ด้วยแพ็กเกจจิ้ง เน้นเรื่องดีไซน์ เรื่องการเป็นของเก็บสะสม หรือของฝากแทน”
เธอบอกว่าจุดขายใหญ่ๆ ของ ANONA คือกลิ่นที่ใครก็ดมได้ เพราะส่วนผสมที่เลือกมาใช้ล้วนเป็นสิ่งที่เธอคิดมาแล้วว่าใครดมก็จะต้องชอบจริงๆ
“ตัวสมุนไพรที่เราใช้มันก็เป็นสมุนไพรพื้นบ้าน ที่เราใช้กินนี่แหละค่ะ อย่างอบเชย โป๊ยกั๊ก พริกไทย อะไรพวกนี้เขาจะมีกลิ่นเฉพาะของเขาอยู่ เราเอาสมุนไพรพวกนี้ไปผ่านกรรมวิธีหลายๆ อย่างให้มันเก็บรักษาได้นาน แล้วค่อยเอามาหมักกับน้ำมันหอมระเหย ตัวน้ำมันนี่เราใช้น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ด้วยนะคะ ใช้เพียวๆ ไม่ผสมน้ำเลย กลิ่นมันก็จะชัดกว่า แล้วเราก็คิดกลิ่นขึ้นมาเองด้วย นิสก็ไปเรียนวิธีการเบลน การผสมกลิ่นมา แล้วก็ทดลองจนกว่าจะได้กลิ่นที่เราพอใจ มันถึงเป็นกลิ่นเฉพาะของเราเองที่ไม่เหมือนที่อื่น”
สินค้าเซ็ตแรกของ ANONA จึงออกมาเป็นสมุนไพรหอมระเหย ที่มีให้เลือกถึง 4 สี 4 กลิ่น ได้แก่
ยักษ์สีเขียว (ทศกัณฑ์) กลิ่นตะไคร้
ยักษ์สีแดง (ทัพนาสูร) กลิ่นน้ำมันระกำ
ยักษ์สีขาว (สหัสเดชะ) กลิ่นมะนาว
ยักษ์สีน้ำเงิน (วิรุฬหก) กลิ่นเปปเปอร์มินต์
ใส่ใจกับ Packaging
ผลิตภัณฑ์หอมระเหย ANONA มาในรูปแบบของกระปุกอ้วนกลมไซส์เล็ก ที่มีหน้าตาเป็นยักษ์จากวรรณคดีชื่อดัง รามเกียรติ์ สุพิชชา บอกว่า แม้เธอจะไม่ได้เรียนจบมาทางสายศิลปะ แต่ด้วยรสนิยมส่วนตัวก็ชื่นชอบในการวาดรูป และศิลปะแบบไทยๆ งานนี้จึงขอลงมือออกแบบบรรจุภัณฑ์ด้วยตัวเอง เพราะเชื่อว่าหน้าตาที่ดึงดูดจะนำพาความสนใจมาเป็นอันดับแรก
“คือพอเราจบด้านการตลาดมาก็เลยรู้ว่าเรื่องแพคเกจจิ้งมันสำคัญมาก มันเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนเห็น ยิ่งเราเป็นของฝาก ของที่ระลึก คนเขาก็ต้องอยากได้ของที่ดูน่ารัก น่าเก็บ ที่จริงก่อนจะมาเป็นยักษ์เราก็ดราฟไว้หลายอย่าง ทั้งช้าง ทั้งตุ๊กตุ๊ก แต่ ณ ตอนนั้นของพวกนี้มันเกลื่อนมาก ถ้าเราตามไปเราก็จะไม่แตกต่างเลย พอดีตอนนั้นยักษ์มันยังไม่แพร่หลายเท่าไหร่ ก็เลยลองดีไซน์เป็นยักษ์ขึ้นมา สรุปแล้วมันก็ลงตัวกับยักษ์ที่สุด เพราะของเรามันทำมาไว้ดม เลยต้องออกแบบเป็นกระปุกที่หมุนเปิดช่องด้านบนไว้ให้ดมได้ง่ายๆ ”
แต่นอกจากการดีไซน์ เธอก็ไม่ลืมที่จะใส่ใจกับเรื่องเล่า และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
“เราเชื่อว่าชาวต่างชาติเขาชอบอะไรที่มันมี story มากกว่าการที่มันสวยเฉยๆ ก็เลยพยายามใส่เรื่องราวของยักษ์พวกนี้เข้าไปด้วย เราว่าคนไทยหลายคนไม่รู้ว่ายักษ์ไม่ได้มีแค่ทศกัณฑ์อย่างเดียว มันมีหลายตนนะ เราก็พยายามอธิบายว่าตนนี้เป็นใคร ชื่ออะไร มีพลังอะไรบ้าง ทำเป็นภาพประกอบน่ารักๆ อธิบายเป็นแผ่นพับใส่ไปในกล่อง โลโก้เราก็พยายามออกแบบให้คล้ายเลขหนึ่งไทย คล้ายใบไม้ จะได้สื่อถึงสมุนไพรด้วย แถมยังมีตัวล็อกในกล่องไม่ให้หน้ายักษ์มันหันออกจากหน้ากล่องอีก คนจะได้เห็น คือภายใต้งานที่มันเสร็จออกมาแล้ว ที่จริงเราคิดมาเยอะมากค่ะ” เธอกล่าว
การตลาดทั้งออฟไลน์ และ ออนไลน์
“ตอนแรกตัวยักษ์เราปล่อยมา 2 สีก่อน คือ เขียวกับแดง เพราะตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่ามันจะเวิร์คไหมเลยค่อยๆ ปล่อย นิสก็เดินฝากขายกับร้านตาม BTS เลยค่ะ คือเรามองว่าส่วนใหญ่ชาวต่างชาติมากรุงเทพฯ เขาก็เที่ยวอยู่ในเมือง เพราะมันเดินทางง่ายที่สุด เราเลยไปเสนอตามร้านขายของฝาก คือตอนนั้นยังไม่ได้เข้าแชแนลใหญ่ ๆ เพราะรู้สึกว่ามันยาก มันต้องใช้เงินเยอะ เราก็เลยคุยกับร้านเล็ก ๆ ก่อน พอร้านเขาสนใจ ก็เลยเป็นการฝากวางขายไป”
แต่แม้แบรนด์ของเธอจะมีเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติ สุพิชชาก็ยังอยากให้คนไทยรู้จักแบรนด์ของเธอด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลให้เธอไม่ละเลยที่จะทำการตลาดในเฟซบุ้ก
“คือเราเชื่อว่ายังมีคนไทยที่อยากจะซื้อของฝากที่มันแตกต่างไปจากเมื่อก่อนอยู่ อาจจะเป็นของฝากสำหรับเพื่อนต่างชาติ ฝากโฮสต์ หรือเวลาเขาจัดงานแบบที่เป็นธีมไทยๆ เขาอาจจะอยากได้ของเราไปเป็นของชำร่วยอะไรแบบนี้ ตรงนี้มันจะเป็นการช่วยกระจายให้คนรู้จักแบรนด์เราเพิ่มขึ้น เฟสบุ้กก็ช่วยได้เยอะค่ะ เพราะมันทำให้ชื่อแบรนด์เราแพร่หลายไปเร็ว ตัวนิสเองก็โชคดีจากตรงนี้ เพราะมีแชแนลใหญ่ๆ เขาติดต่อมาให้เราไปวางขาย อย่างพวกร้านนายอินทร์ แล้วก็เซนทรัล เราก็เลยมีโอกาสทำให้สินค้าเราไปถึงมือลูกค้าได้ง่ายขึ้น ก็ถือว่าค่อยๆ ขยายไปเรื่อยๆ”
มากไปกว่านั้น ANONA ยังมีส่วนที่ทำการตลาดเป็นภาษาญี่ปุ่น และจีน เพื่อให้ชื่อสินค้าของเธอเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของเธออีกด้วย
“จริงๆ ตอนแรกเราไม่ได้โฟกัสคนจีนโดยตรงนะคะ เราแอบกลัวคนจีนด้วยซ้ำ โอเค จำนวนคนเขาเยอะจริง กำลังซื้อเยอะ แต่มันก็มีความเสี่ยงเรื่องการโดนก็อปด้วย แต่พอมาชั่งน้ำหนักดูแล้วก็คิดว่าถ้าเราได้ลูกค้าสักเสี้ยวหนึ่งของคนจีนเราก็น่าจะได้อะไรกลับมาบ้าง ก็เลยลองสร้างการรับรู้ในสื่อออนไลน์ดู มันก็เวิร์คค่ะ อย่างช่วงตรุษจีนที่ผ่านมายอดก็พุ่งเยอะอยู่ น่าจะเป็นเพราะช่วงเทศกาล แล้วเราก็เลือกเนื้อหาที่เราคิดว่าเขาน่าจะติดการค้นหา อย่างของฝากอะไรน่าซื้อจากไทย หรือที่น่าเที่ยวในกรุงเทพฯ อะไรพวกนี้ มันก็คงผ่านสายตาเขามาบ้าง”
ต่อยอดไลน์สินค้าใหม่ ‘บาล์มอโรม่า’
หลังจากที่ผลิตภัณฑ์หอมระเหยเริ่มเป็นที่นิยมติดตลาด ล่าสุด ANONA ก็ได้เปิดตัวสินค้าใหม่เป็นผลิตภัณฑ์ บาล์มอโรม่า ที่มีหน้าตากระปุกเป็นเซ็ตตัวละคร ลิง จากวรรณคดีรามเกียรติ์ตามมาด้วย
“คือเรารู้สึกว่ายักษ์ 4 กลิ่นของเรามันเริ่มอยู่ตัวแล้ว มันน่าจะมีสินค้าเพิ่ม ก็เลยออกมาเป็นบาล์มที่มันมีฟังก์ชันการทาเพิ่มเข้ามา เรื่องแพคเกจจิ้งพอเรามีซีรี่ส์ยักษ์แล้ว ก็เลยอยากขยายไลน์ไปเป็นลิงบ้าง ออกแบบให้ขนาดมันเท่ากัน เวลาใครอยากซื้อเก็บ ซื้อโชว์ วางข้าง ๆ กันมันก็จะได้ดูเป็นเซ็ตสวย ๆ ”
แน่นอนว่าตัวสินค้าชนิดใหม่นี้ สุพิชชายังคงคอนเส็ปใส่ใจในทุกขั้นตอนไว้เหมือนเดิม
“อันนี้นิสก็ทดสอบกลิ่นเองเหมือนเดิมค่ะ ลองเองเหมือนเดิม กว่าจะได้แบบที่วางขายก็ทะเลาะกับโรงงานไปหลายรอบอยู่ ตัวซีรี่ส์ลิงกลิ่นจะไม่เหมือนกับยักษ์นะคะ ตัวยักษ์หอมระเหยเป็นกลิ่นตะไคร้ แต่อันนี้จะเป็นตะไคร้ลาเวนเดอร์ คือมันจะมีลูกเล่นที่ไม่เหมือนกันอยู่ เพราะคอนเส็ปของ ANONA มันคือกลิ่นที่ไทยแต่มีความเป็น Contemporary คือเข้าถึงง่ายขึ้น มีความโมเดิร์น แบบที่คนรุ่นใหม่ วัยรุ่นก็ยังใช้ได้”
ซีรี่ส์บาล์มอโรม่าของ ANONA เริ่มต้นปล่อยสินค้ามาชิมลางตลาดเครื่องหอมด้วยกัน 2 กลิ่น คือ ลิงสีขาว (หนุมาน) กลิ่นสยาม (ตะไคร้ + ลาเวนเดอร์) และ ลิงสีเหลือง (เกสรมาลา) กลิ่นลานนา (โรสแม่รี่ + ส้ม)
“ตัวลิงเรามีอุปสรรคนิดหน่อยตรงที่มันแอบสื่อสารกับลูกค้ายากค่ะ เพราะเขาเห็นหน้าตามันคล้ายๆ กับตัวยักษ์ ต้องสังเกตตรงศีรษะ ตรงเขี้ยวอะไรพวกนี้ถึงจะแยกได้ คือเรื่องหน้าตาถ้าไม่มีความรู้เรื่องนี้มาก่อนอาจจะสับสนนิดนึง แต่เรื่องวัตถุดิบเราก็ใช้ของพรีเมี่ยมเหมือนเดิม ใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น กับขี้ผึ้งธรรมชาติ อันนี้มันจะให้เนื้อบาล์มที่ดีกว่า แล้วก็อ่อนโยนกับผิว มันจะเย็นแบบค่อยๆ เย็น ไม่ใช่ทำให้แสบค่ะ แต่ก็ต้องระวังเข้าตาด้วยนะคะ อันนี้ต่อให้อ่อนโยนแค่ไหนก็แสบ”
2 ปี กับการเติบโตของ ANONA
ตลอดระยะเวลาการลองผิดลองถูก และเริ่มต้นทำธุรกิจของแบรนด์ ANONA ด้วยความทุ่มเท และการใส่ใจในทุกๆ รายละเอียด ANONA กลายเป็นแบรนด์ที่มีจุดยืน และเอกลักษณ์ชัดเจนจนสามารถมัดใจทั้งชาวต่างชาติ และชาวไทยได้ไม่น้อย สุพิชชา เจ้าของแบรนด์ในวัย 27 ปี เล่าว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ไม่มีอะไรง่าย แต่เธอก็แสนภูมิใจที่ผ่านมันมาได้ทั้งหมด
“คือมองย้อนกลับไปเราก็ภูมิใจเหมือนกันค่ะ จากวันแรกที่เราไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี ต้องขอบคุณหลายๆ คนที่เอ็นดู และให้โอกาสเราด้วย คือต้องบอกก่อนว่าเราก็อดทนมาไม่น้อย เพราะที่จริงอุปสรรคมันเยอะมาก เรายังใหม่ เพิ่งเริ่มทำ มันก็มีปัญหามาทุกขั้นตอน แล้วเราต้องแก้เอง เรียนรู้เองหมด มีเคสที่เคยไปดีลกับร้านนึง แล้วสุดท้ายเขาก็อปสินค้าเรา อันนี้ก็เสียความรู้สึกมาก แต่ ณ ตอนนั้นก็ไม่ได้ไปอะไรกับเขา เพราะรู้สึกเอาเวลามาพัฒนาโปรดัคเราดีกว่า”
ANONA ยังคงเดินหน้าต่อไปในฐานะแบรนด์ของฝากที่นำเสนอความเป็นไทยออกมาอย่างสร้างสรรค์ สุพิชชาบอกว่าเธอยังคงมุ่งมันที่จะพัฒนาแบรนด์ต่อไปเรื่อยๆ และจะคิดค้นโปรดัคดีๆ ออกมาเพิ่มอีกอย่างแน่นอน
“นิสว่าทุกแบรนด์มันก็ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ค่ะ เพราะถ้าเรายังอยู่ที่เดิม มันก็จะมีคนเข้ามาแข่งกับเราอีกเรื่อย ๆ แน่นอน ณ ตอนนี้ที่อยากโฟกัสคงเป็นการทำของตัวเองให้มันสตรองขึ้น แต่ถ้ามีโอกาสก็คงไม่หยุดพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกมา เหมือนที่เราคิดบาล์มขึ้นมานี่ล่ะค่ะ”