มีเวลาว่าง แค่ช่วงเสาร์-อาทิตย์ แต่อยากจะไปเติมพลังชีวิต ด้วยการท่องเที่ยวกับเขาบ้าง สำรวจข้อมูลมากมาย ว่าที่ไหนจะใช้เราได้ไปสโลว์ไลฟ์ ได้อย่างชิลล์จริงๆ สุดท้ายก็มาลงเอยที่ จังหวัดนครปฐม ที่ปกติมองเห็นเป็นแค่ทางผ่านไปจังหวัดอื่นๆ แต่วันนี้ขอพาตัวเอง เดินให้ช้าลงอีก แล้วออกไปสำรวจเมืองใกล้เรือนเคียงกัน …เอาเข้าจริงๆ นครปฐม ก็มีอะไรน่าสนใจให้เราได้เที่ยวได้สำรวจอยู่เยอะ ยิ่งถ้าเป็นคนชอบเที่ยวแนววัฒนธรรม หลงใหลวิถีชีวิตแบบเก่า คลั่งไคล้ตลาดน้ำ และยิ่งชอบซอกแซกหาของกินอร่อยๆ ด้วยแล้ว บอกเลยว่านครปฐมตอบโจทย์ชีวิต การเที่ยวของคุณมาก เพราะมีครบทุกข้อที่กล่าวมา มานครปฐมคราวนี้ เราขอเริ่มต้นทริปด้วยการไป “คลองมหาสวัสดิ์” ที่อำเภอพุทธมณฑลกัน
อาจจะสงสัยว่า คลองมหาสวัสดิ์ แห่งนี้มีดีอะไรให้เราต้องมาเที่ยว จุดเด่น ของที่นี่คือ ทริปล่องเรือ พาชมวิถีชีวิตริมคลอง ซึ่งนอกเหนือจากการนั่งเรือหางยาวของชาวบ้าน ได้ชมบรรยากาศสองฝั่งคลอง ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เขายังมีจุดแวะอีก 4 แห่งให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปเที่ยวชมกัน คือ นาบัว สวนกล้วยไม้ กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรมหาสวัสดิ์ที่บ้านศาลาดิน และจุดสุดท้าย คือ พาไปนั่งรถอีแต๋นชมไร่นาสวนผสม
ก่อนจะลงเรือไปล่องคลอง ขอพาย้อนไปรู้จักกับ “คลองมหาสวัสดิ์” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า คลองขุด แห่งนี้กันสักหน่อย เพราะเรียกได้ว่าเป็นคลองประวัติศาสตร์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานและน่าสนใจไม่น้อย โดยเป็นคลองที่ถูกขุดขึ้นในปี พ.ศ. 2402โดยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวย่นระยะการเดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ โดยเมื่อทำการขุดคลองเสร็จในปี พ.ศ. 2403 พระองค์ท่านได้พระราชทานนามให้ว่า “มหาสวัสดี” ชาวบ้านในชุมชนคลองมหาสวัสดิ์ ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร ทำสวนผลไม้ ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำหรืออยู่ตามเรือกสวนไร่นา คลองแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงชุมชนมานับร้อยปี
ชาวบ้านในชุมชนได้เริ่มต้นรวมตัวกัน ช่วยพัฒนาเรื่องการท่องเที่ยวมาตั้งแต่ปี 2540 จึงไม่น่าแปลกใจที่มีการบริหารจัดการต่างๆ ค่อนข้างดี แม้จะมีหยุดชะงักไปบ้างในช่วงน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ที่ทำให้บ้านเรือนและเรือกสวนไร่นาเสียหายครั้งใหญ่ แต่ตอนนี้ชีวิตของคนในชุมชนก็ฟื้นกลับมา เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน
จุดเริ่มต้นของการล่องเรือชมคลอง จะอยู่ที่บริเวณวัดสุวรรณาราม โดยเรือนำเที่ยวเป็นเรือของชาวบ้าน ซึ่งคนขับเรือก็มักจะเป็นไกด์ท้องถิ่นไปด้วยในตัว คอยอธิบายเรื่องราวและให้ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนได้เป็นอย่างดี เรือลำหนึ่งสามารถนั่งได้สูงสุด 6 คน ระยะเวลาการล่องเรือไม่ได้จำกัดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละจุดเราจะใช้เวลาเดินหรือหยุดถ่ายรูปกันมากน้อยแค่ไหน (เฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 2-3 ชั่วโมง)
หลังจากขึ้นเรือที่ท่าวัดสุวรรณาราม จุดแรกที่คนนิยมไปแวะคือ “นาบัว” ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ซึ่งปลูกดอกบัวพันธุ์ สัตตบุศย์ เป็นพันธุ์ที่คนนิยมซื้อไปบูชาพระ หากไปช่วงเช้า เราจะได้การเก็บบัว ซึ่งเจ้าของนาจะหิ้วตะกร้าเหล็ก ลอยเรือลำเล็กค่อยๆ เดินเก็บบัว (น้ำสูงแค่อกหรือเอว) เราสามารถเลือกนั่งชมแบบชิลล์ๆ อยู่บนศาลาริมน้ำ หรือจะลงเรือพายลำเล็ก ลงไปชมบัวใกล้ๆ ก็ได้เช่นกัน หลายคนที่มาอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่ค่อยเห็นดอกบัวบาน ส่วนใหญ่จะเป็นบัวตูม ก็เนื่องจากว่า บัวนี้ตัดเก็บไปขายสำหรับบูชาพระ จึงจะเก็บกันตอนที่ยังตูมเพื่อให้ขายได้ จะมีน้อยมากที่จะทิ้งไว้จนดอกบัวบานเพราะนั่นหมายถึงว่าบัวจะใช้ไม่ได้แล้ว หากไปเที่ยวในช่วงก่อนหรือหลังวันพระใหญ่ ก็อาจจะแทบไม่ได้เห็นบัวเลยก็ได้ เพราะช่วงนั้นจะถูกตัดไปขายจนเกือบหมด
ที่นี่ยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยว Dream Destinations กาลครั้งนั้น … ความฝันผลิบาน ของ ททท. เมื่อปี 2558 สำหรับเดือนพฤษภาคม แต่ที่จริงแล้วนาบัวแห่งนี้สามารถมาเที่ยวได้เกือบตลอดทั้งปี (ยกเว้นอาจจะมีช่วงที่เปลี่ยนบัวเพื่อปลูกแปลงใหม่ ดังนั้น เพื่อให้ชัวร์ ควรจะโทรมาเช็คก่อน)
หลังจากชมนาบัวจนอิ่มใจ เราก็ลงเรือไปต่อกันที่ “กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรมหาสวัสดิ์” ณ บ้านศาลาดิน ที่นี่เราจะได้เรียนรู้การผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตรของชุมชนหลายอย่างที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น ไข่เค็มเสริมไอโอดีน ข้าวตังที่ทำจากข้าวกล้อง กล้วยตากพลังแสงอาทิตย์ ซึ่งเขามีโรงอบกล้วยที่สะอาดและปราศจากแมลงวัน รวมถึงมุมจำหน่ายสินค้าโอท็อปและสินค้าการเกษตรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้วยตาก มะม่วงกวน ข้าวไรซ์เบอร์รี หรือข้าวตัง ให้เราเลือกช้อปกลับบ้านกันด้วย
บริเวณใกล้เคียงกัน จะมีร้านขายเครื่องดื่ม ที่มีชื่อว่า ร้าน “จนตรอก ชงชา กะ กาต้ม” ซึ่งขายชา-กาแฟ และเครื่องดื่มแนวชงแบบโบราณๆ จุดเด่นอยู่ที่ความวินเทจของร้านและไซส์ของเครื่องดื่มที่ทำมาให้เราแบบจัดเต็มในราคาประหยัด เรียกได้ว่า ซื้อทีเดียว สามารถดื่มไปได้ตลอดทริป และที่สำคัญรสชาติอร่อยกลมกล่อมคุ้มเกินราคาทีเดียว
หลังจากพักช้อปปิ้งและเติมความสดชื่นกันแล้ว เราก็ลงเรือต่อไปยังจุดที่ 3 คือ “สวนกล้วยไม้” ระหว่างทางนอกจากบ้านเรือนริมน้ำแล้ว เรายังสังเกตเห็นนกนานาชนิดและแมงปอบินโฉบไปมาริมตลิ่ง ซึ่งได้คำตอบจากคนท้องถิ่นว่า แถวนี้จะมีนกปากห่างที่มาคอยกินปลา กินหอย ซึ่งถ้าอยู่ในนาก็จะคอยกินหอยเชอรี่ ที่มากัดกินต้นข้าว เป็นการช่วยชาวนาได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าแถวนี้ยังคงความอุดมสมบูรณ์และเป็นธรรมชาติอยู่มาก
ไม่นานนักเราก็มาถึงสวนกล้วยไม้ ซึ่งเดินจากท่าจอดเรือไปเพียง 200 เมตร เราจะได้ชมแปลงปลูกกล้วยไม้สวยๆ หลากสีสัน โดยส่วนใหญ่เป็น กล้วยไม้ตระกูลหวาย ซึ่งมีทั้งสีเหลือง ม่วง แดง ต่างเบ่งบานชูช่ออวดสีสันกันอย่างสวยงาม นอกจากนั้นยังมีพันธุ์อื่นๆ ที่เขาทดลองปลูกให้ชมกันด้วย ทางเจ้าของสวนจะอธิบายเรื่องวิธีการปลูก ดูแลรักษาและพันธุ์กล้วยไม้ที่ปลูกในสวน และหากใคร ชมแล้วชอบ สนใจอยากจะซื้อพันธุ์ไม้กลับบ้าน เขาก็มีจำหน่ายในราคาไม่แพงเช่นกัน
จากสวนกล้วยไม้เรามาถึง จุดสุดท้ายของทริปล่องคลองมหาสวัสดิ์ ซึ่งเรือจะย้อนกลับมาใกล้ๆ ท่าเทียบเรือวัดสุวรรณาราม เพื่อมาแวะเที่ยวชม “สวนเกษตรผสมผสาน” บนเนื้อที่กว่า 40 ไร่ ซึ่งจัดสรรเป็นที่นา และสวนผลไม้ที่ปลูกผสมผสานกันหลายชนิด อาทิ มะพร้าว มะม่วง ขนุน ส้มโอ ของขึ้นชื่อของนครปฐม แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า สวนในแถบนี้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อ 5 ปีก่อน ผลไม้ รวมถึงส้มโอ ก็ยืนต้นตายไปจำนวนมาก และต้องเริ่มต้นปลูกกันใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งถึงจะกลับมาผลิตผลได้ดังเดิม ไฮไลต์อีกอย่างของที่นี่ คือ การนั่งรถอีแต๋น เที่ยวชมสวน ซึ่งคุณลุงจะมีลีลาการขับที่เร้าใจเฉพาะตัว และจะพาเราลัดเลาะไปตามสวนที่ร่มรื่น จนถึงนาข้าวเขียวขจีที่สวยงาม ซึ่งหากลูกค้าไม่เยอะ ไม่ต้องรอกันนาน ก็สามารถจอดรถลงไปเดินชมนา ถ่ายรูปเท่ๆ กันได้ตามสบาย ก่อนที่จะกลับขึ้นรถซิ่ง คุณลุงไม่วายจะทิ้งท้ายความตื่นเต้นจนกระทั่งจอด เป็นการปิดท้ายทริปที่สุดแสนจะประทับใจ
ทริปล่องเรือ ชมวิถีชีวิตชุมชนสองฝั่ง คลองมหาสวัสดิ์ มีให้บริการตั้งแต่ช่วง 8 โมงเช้า จนถึงประมาณ 4 โมงเย็น แต่ถ้าให้เราแนะนำ ควรจะมาช่วงเช้าจะดีกว่า เพราะนอกจากจะได้ชมเขาเก็บบัวแล้ว อากาศช่วงเช้ายังไม่ร้อน และแดดยังไม่แรง ทำให้บรรยากาศยามเช้าของ คลองมหาสวัสดิ์ ยิ่งสวยและสดชื่นมากขึ้น ค่าเรือจะอยู่ที่ประมาณ 500 บาท (เหมาลำ) แต่ยังไม่รวมค่ารถอีแต๋น คนละ 80 บาท แนะนำให้โทรจองเรือ และเช็คเรื่องสถานที่ล่วงหน้า (เผื่อช่วงนั้นไม่มี นาบัว หรือนาข้าว) โดยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ล่องเรือชมสวนเที่ยวคลองมหาสวัสดิ์ โทร.0-3429-7152,08-1495-9091 หรือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสมุทรสงคราม (สมุทรสงคราม,สมุทรสาคร,นครปฐม) โทร.0-3475-2847 – 8 หรือ Fanpage : TAT Samut Songkhram
การเดินทาง:
หากเดินทางมายัง คลองมหาสวัสดิ์ โดยรถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) วิ่งไปจนถึงแยกพุทธมณฑลสาย 4 ให้แยกเข้าไปทางศาลายา ผ่านมหาวิทยาลัยมหิดล เข้าสู่ถนนศาลายา-นครชัยศรี ให้สังเกตป้ายวัดสุวรรณาราม และตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆก็จะถึงยังวัดสุวรรณาราม หรือ ถ้าอยากจะเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ ก็สามารถนั่งรถไฟสายใต้ (หรือที่จะไปหัวหิน) มาลงที่สถานีรถไฟวัดสุวรรณ ซึ่งอยู่ห่างจากวัดเพียง 100 เมตร ศูนย์บริการการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ล่องเรือชมสวนเที่ยว คลองมหาสวัสดิ์ จะอยู่ใกล้กับบริเวณวัด