ความคราฟต์ของ Chanel No 5 น้ำหอมแห่งศตวรรษ

การทำธุรกิจให้มีอายุเกิน 100 ปี เป็นเรื่องที่ยากมาก และยิ่งเป็นเรื่องแฟชั่นที่แข่งขันกันสูงมากๆ แบรนด์นั้นต้องมีอะไรพิเศษที่ไม่ใช่เพียงแค่ดูสวย ดูแพง แต่แบรนด์นั้นต้องสร้างผลกระทบอะไรบางอย่างให้กับสังคมอีกด้วย

แบรนด์แฟชั่นที่อายุเกิน 100 ปี และอยู่รอดมาถึงปัจจุบัน เช่น Hermès, Luis Vuitton, Prada และที่ขาดไม่ได้ Chanel

และเมื่อพูดถึง ‘Chanel’ สุดยอดแบรนด์แฟชั่นจากฝรั่งเศส จะไม่พูดถึง Chanel No 5 ก็คงไม่ได้ เพราะน้ำหอมคอลเลกชันนี้ถือเป็นน้ำหอมที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมน้ำหอมตั้งแต่ปีค.ศ. 1921 และจนถึงปัจจุบัน Chanel No 5 ก็ยังเป็นไอคอนของน้ำหอมทั่วโลก

สาเหตุที่ทำให้ Chanel No 5 มีอายุเกือบ 100 ปี นั้นมีหลายปัจจัยมาก ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นของน้ำหอม รูปทรงขวดที่เป็นเอกลักษณ์ แบรนด์ที่แข็งแกร่ง หรือการทำโฆษณาต่างๆ แต่สิ่งที่ Craft ‘N’ Roll อยากเน้นเป็นพิเศษนั่นก็คือ ‘ขั้นตอนการผลิต’

ขั้นตอนการผลิตน้ำหอม Chanel No5

การปฏิวัติอุตสาหกรรมน้ำหอม

ก่อนที่น้ำหอมสูตรที่ 5 ของ Chanel จะถูกผลิตออกมา ผู้หญิงชาวฝรั่งเศสนิยมใช้น้ำหอมที่มีกลิ่นของดอกไม้เพียงชนิดเดียว แต่ Chanel เลือกที่จะใช้กลิ่นจากดอกไม้หลายชนิดผสมลงไป ซึ่งมันหอมจนสร้างความประหลาดใจให้คนในยุคนั้นเป็นอย่างมาก และ Chanel ยังเป็นแบรนด์แรกๆ ที่เริ่มนำ ‘อัลดีไฮด์’ มาใช้ในกระบวนการผลิต น้ำหอมที่ได้จึงมีกลิ่นที่ซับซ้อนมากกว่าเดิม และติดทนได้นานขึ้น

ไม่ใช่แค่กลิ่นเท่านั้นที่แตกต่าง แต่ Coco Chanel ต้องการน้ำหอมกลิ่นใหม่ที่สามารถอธิบายตัวตนของผู้หญิงที่ซับซ้อนมากกว่าน้ำหอมกลิ่นดอกไม้เรียบๆ Chanel No 5 จึงเป็นที่รู้จักในฝรั่งเศส และทวีปยุโรปอย่างรวดเร็ว

สูตรน้ำหอมที่เลียนแบบไม่ได้

สิ่งที่ Gabrielle Chanel (Coco) บอกกับ Ernest Beaux นักปรุงน้ำหอมชาวรัสเซีย คือ เธอต้องการ “น้ำหอมของผู้หญิง ที่ให้กลิ่นเหมือนผู้หญิง” โดยสามารถใช้วัตถุดิบที่ราคาแพงที่สุดในท้องตลาดก็ได้ เพื่อไม่ให้คนอื่นสามารถเลียนแบบได้ง่ายๆ

Gabrielle Chanel และ Ernest Baux

Gabrielle Chanel และ Ernest Baux

 

จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีใครรู้สูตรน้ำหอมของ Chanel No 5 ที่แท้จริง แต่ดอกไม้หลักที่ใช้ในการสกัดน้ำหอมนั้นมี ดอกมะลิ (Jasmine), ดอกกุหลาบ (May Rose) และ ดอกกระดังงา (ylang-ylang) ที่มาจากสวนดอกไม้ในเมืองกราซ ประเทศฝรั่งเศส

Joseph Mul เจ้าของสวนดอกไม้ตระกูล Mul รุ่นที่ 5 เล่าว่า “ในปี 1921 เป็นรุ่นคุณย่าของเขาที่ได้ทำงานร่วมกับ Gabrielle Chanel ในการผลิต Chanel No 5 ออกมา และจนถึงทุกวันนี้ Chanel ก็ยังรับซื้อดอกไม้จากสวนของเราอยู่ โดย Chanel จะรับซื้อดอกมะลิทั้งหมดที่เราปลูก ดอกกุหลาบอีกประมาณ 40% และ Chanel ยังเป็นเพียงไม่กี่แบรนด์ ที่ไม่ได้เปลี่ยนวิธีการผลิตน้ำหอมไปจากเดิม”

ความคราฟต์ของวัตถุดิบ

1.ดอกไม้ต้องเมืองกราซ

ความพิเศษของเมืองกราซ คือ สภาพอากาศที่ไม่หนาวมากซึ่งเหมาะแก่การปลูกดอกไม้เมืองกราซจึงโด่งดังในเรื่องการผลิตน้ำหอม โดยดอกกุหลาบที่เมืองกราซ จะเรียกกันว่า Rose de Mai หรือ May Rose เพราะมันจะขึ้นบานแค่ 5 อาทิตย์ ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน และมีกลิ่นที่น่าหลงใหลกว่ากลิ่นกุหลาบทั่วไป

 

สวนดอกไม้

2.เก็บด้วยมือเท่านั้น

การเก็บดอกกุหลาบที่สวนของ Joseph Mul จะเริ่มในช่วง 10 โมงเช้า ใช้คนงานถึง 70 คน เพื่อเก็บดอกกุหลาบให้ได้ 37 ตัน และทุกขั้นตอนต้องใช้มือทั้งหมด เพื่อไม่ให้ดอกไม้บอบช้ำ

สาเหตุที่กลิ่นของ Chanel No 5 เลียนแบบไม่ได้ง่ายๆ เพราะการจะสกัดกลิ่นเหล่านี้ออกมาจำเป็นจะต้องใช้ดอกไม้จำนวนมาก ยกตัวอย่าง ดอกมะลิ 8,000 ดอก จะหนักประมาณ 1 กิโลกรัม และ การจะสกัดเอาน้ำมันจากดอกมะลิ 1 ลิตร จะต้องใช้ดอกไม้ประมาณ 700 กิโลกรัม

ฉะนั้นในการได้น้ำมันจากดอกมะลิ (absolute) 1 ลิตรนั้น จะต้องใช้ดอกไม้มากกว่า 560,000 ดอก

 

Chanel No 5 สอนอะไรเรา ?

1.ไม่ลดทอนคุณภาพของสินค้า

วัสดุและขั้นตอนการทำ เป็นปัจจัยที่กำหนดคุณค่าของงานคราฟต์ แต่ในปัจจุบันการแข่งขันด้านราคาทำให้ Maker หลายคนเลือกที่จะลดคุณภาพของสินค้า เพื่อให้ราคาถูกลง รวมถึงผลิตได้ปริมาณที่มากขึ้น

การทำเช่นนั้นถึงแม้จะขายในปริมาณที่เยอะขึ้นจริง แต่ผู้บริโภคจะไม่เห็นคุณค่าของสินค้า ฉะนั้นหากแบรนด์ของคุณมีความคราฟต์เหล่านี้อยู่แล้ว จงรักษามันไว้ และพยายามนำข้อได้เปรียบนี้ สื่อสารออกไปให้คนภายนอกรับรู้ให้ได้

2.คิดเสมอว่า สินค้านี้ให้อะไรกับผู้ใช้บ้าง

ในตอนที่ Gabrille Chanel คิดจะทำน้ำหอม เธอไม่ได้แค่ชอบน้ำหอมและอยากมีน้ำหอมแบรนด์ของตัวเองบ้าง แต่เธอเชื่อว่าผู้หญิงควรจะต้องมีกลิ่นหอมที่มากกว่านี้ อธิบายถึงตัวตนของตัวเองได้ดีกว่านี้

เธอถึงกับพูดว่า “ผู้หญิงที่ไม่ได้ใส่น้ำหอม ไม่มีอนาคต” เพราะเธอเชื่อว่าน้ำหอมจะช่วยเปลี่ยนทัศนคติของผู้หญิง และคนรอบข้างได้

ฉะนั้นลองถามตัวเองดูว่า สิ่งที่คุณกำลังจะทำหรือทำอยู่นั้น ช่วยให้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น ด้านไหนได้บ้าง?

ขวดน้ำหอม Chanel No 5

ขวดน้ำหอมทรงคลาสิค ที่สร้างอิทธิพลต่อวงการน้ำหอม เป็นต้นมา

 

ที่มา
Chanel
BBC
Telegraph
TheNewYorker
หนังสือ Deluxe: How Luxury Lost its Lustre

นักเขียนเนื้อหาในด้านธุรกิจ งานคราฟต์ และการตลาด
ชอบเลื่อนหาซีรีส์แปลกๆ ใน Netflix ดู ก่อนที่จะหลับและไม่ได้ดูอะไรเลย

Categories: CRAFT INSIGHT , Insight